วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

ทำไมต้องนายหน้าค้าหุ้น

หลังจากใช้ชีวิตท่นี่อยู่สองปี ก็เริ่มค้นหาตัวเองว่า ใจเรารักอะไร กลับไปจะไปทำอะไร คนที่ประสปความเร็จหลายท่านที่รู้จัก เค้าล้วนแต่ทำในสิ่งที่ตัวเองรักทั้งนั้น ตอนนี้ก็คิดว่าเราอยากเป็นอะไร ชอบอะไร หนึ่งเราชอบตัวเลข ชอบคิดเป็นตัวเลข ชอบคำนวณ หัวการค้า มีเล่เหลี่ยวใ หัวหมอ ชอบเล่นไพ่เป็นชีวิตจิตใจ(แฮ่ๆ อันหลังอันนี้เป็นความชอบมากๆจิงๆ มีความสุขเวลาเล่นมัน ถ้าเมืองไทยให้เล่นแบบถูกกฏหมาย อนาคตคงอยากเป็นเจ้าของบ่อนอ่ะคะ อิอิ ล้อเล่น) ชอบค้าขาย ชอบพิสูจน์ตัวเอง อ้อลืมบอกไป เรียนจบปริญญาตรีด้านบัญชีมาค่ะ ตอนเรียนสนุกค่ะ แต่พอมาทำงานก็รู้เลยว่าไม่ชอบเอาเสียเลย ตอนแรกคิดจะเอาดีด้าน คณิตศาสตร์ประกันภัย เราว่าอนาคตบริษัทเกี่ยวกับประกันภัย น่าจะต้องบูมและในประเทศมีน้อย จริงๆการทำประกันของคนที่นี่เป็นเรื่องปกตินะคะ และคนขนขวายที่จะด้วยเพราะเค้าให้ความสำคัญกับความไม่แน่นอนค่ะ เช่น อุบัติเหตุอย่างนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ต่างจากที่เมืองไทยต้องง้อแล้วง้ออีก เผลอๆ ประกันภัยเป็นเรื่องที่ขยาดของใครหลายๆคน ที่เจอคนขายประกันโทรจิก บางคนเข้าข่ายถึงขั้นละเมิดสิทธิเกินไป บ่นไปซะยาว เรื่องความชอบก็ลิสซึ่งที่เราชอบออกมา แล้วคิดว่าเราสนใจด้านไหน ก็สรุปกะตัวเองได้ว่า เราชอบงานที่ต้องท้าทาย เกี่ยวกับตัวเงิน เพราะจะมีความสุขเวลาเราทำแล้วได้มัน เคยคิดนะคะ เราชอบอะไรก็ตามที่ทำแล้วได้เงินเยอะๆ เราน่าจมีความสุข และนิสัยส่วนตัว ชอบเอาชนะตัวเอง เช่นเล่นเกมส์ ชั้นต้องที่หนึ่งถึงจะพอใจ ไม่มีคู่แข่งก็เล่นกะตัวเอง เอาให้มากที่สุดแล้วมันสะใจอะไรประมาณนี้ เราก็คิดว่า นักค้าที่ดินหรือนักค้าหุ้น แต่มาจบการตั้งเป้าที่ค้าหุ้นค่ะ ตอนนี้ความฝันคืออยากเป็นมาร์เก็ตติ้ง ด้านการค้าหุ้นถ้าเราเรียนจบกลับเมืองไทยไป ตอนนี้ก็เริ่มอ่านหนังสือของ Warrant buffett และติดตาม facebook ของพี่แพทหรือคุณภาววิทย์ พี่คนนี้ไม่ธรรมดาเลยค่ะ อายุยังไม่มากแต่อนาคตไกลและชอบความคิดของเค้าด้วยค่ะ อ่านของบล๊อคของพี่เค้ามีความรู้ขึ้นมากจริงๆค่ะ สิ่งที่เรียนจากพี่คนนี้ อย่างนึงที่จะถือปฏิบัติเลย คือการให้ก่อนค่ะ เด๋วเราก็ได้รับเอง แต่ไม่ต้องไปหวังผลนะคะ แต่เชื่อเถอะสิ่งที่คุณให้คนอื่นโดยไม่หวังผล วันใดวันนึง เค้าจะต้องให้คุณกลับมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ไม่หวังผลสบายใจกว่าเยอะค่ะ

จุดเริ่มต้นของความคิดที่อยากเป็นมาร์เก็ตติ้งหรือนายหน้าค้าหุ้น จริงๆอนาคตอยากเป็นคนเล่นหุ้นค่ะ แต่อยากเข้าไปศึกษาก่อน ว่าวงการนี้เค้าอยู่กันยังไงสังคมเค้าเป็นกันยังไง เกี่ยวเกี่ยวประสปการณ์ก่อน เดิมที่ที่ทำงานที่แรกคือนักบัญชีบริษัทหลักทรัพย์แห่งนึง แล้วตอนนี้ก็ได้เข้าไปส่งงบตอนสิ้นเดือน ก็มีโอกาสได้เห็นห้องทำงาน หน้าจอเยอะแยะ ก็สนใจอยู่ และบวกกับซึมซับบรรยากาศด้วย ตอนนั้นจำได้ว่าชอบเข้าไปดูหุ้น ตัวนั้น ตัวนี้ อยากเล่นแต่ไม่มีเงิน ช่วงนั้นจำได้ว่า เราดูบริษัท ปตต. บ้านปู กลุ่ม ธนาคาร ดูมาเรื่อยๆจากหุ้นราคาปกติ เช่น PTT ถ้าจำไม่ได้ตอนที่เราดูราคาประมาณ สามร้อยกว่า แล้วมีช่วงที่ตลาดตกไปเหลืออยู่ร้อยกว่าบาท ก็ยังคิดในใจ ถ้ามีบ้านจะขายบ้าน มีรถจะขายรถมาซื้อหุ้นตัวนี้ แต่ติดที่ไม่มีเงิน (ฮ่าๆนิดเดียวเอง) แล้วพอมาอเมริกากลับไปดูอีกครั้ง ราคากลับขึ้นมาเป็นเท่าตัว คิดเออ ถ้าเราซื้อก็ได้กำไรเท่าตัวนึงเลย แต่ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยค่ะ หลังจากนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่เราสนใจอยากจะเอาดีทางด้านเพราะรู้สึกว่าชอบ ชอบตัวเลข ชอบความเสี่ยง เราจะต้องมีความสุขกับงานนี้แน่ๆ ตอนนี้ก็ฝันไปก่อน หาความรู้ข้อมูลไปก่อน เนี่ยล่ะค่ะจุดเริ่มต้น

จากพี่เลี้ยงเด็กอินเตอร์สู่นักเรียนอินเตอร์

หลังจากช่วงนี้ปิดเทอม ช่วงเกินไป แล้วฟุ้งซ่านมากมาย เริ่มจากการมาเป็นออแพร์ที่อเมริกา หรือพี่เลี้ยงเด็กนี่เอง ก็ได้อะไรมากมายจากการอยู่ที่นี่ ซึ่งมันมีคุณค่ามากมายมหาศาล มันไม่ใช่ว่าอเมริกาคือเมืองนอก ประเทศที่คนใฝ่ฝันอยากมากัน แต่มันได้ความเติบโต พัฒนาการสมองของตัวเอง เปิดกว้างมากขึ้น เข้าใจแล้วว่า ทำไมเค้าถึงเรียกเปิดโลกกว้าง สมกับความยากลำบากก่อนที่จะได้มา ต้องบอกก่อนค่ะ ว่าตอนนี้กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ ซึ่งหมายความจบโครงการออแพร์แล้ว เป็นออแพร์อยู่หนึ่งปีเก้าเดือน แต่รู้สึกว่าภาษากระดิกไม่มากเลย เพราะอะไรหรอคะ เพราะคบแต่เพื่อนคนไทย ไม่พยายามเข้าหาโฮสหรือครอบครัวที่เราอยู่เท่าไหร่ แต่ก็พัฒนาขึ้นนะคะ จากวันแรกที่มาประเทศนี้ใหม่ๆ จำได้ว่าวันแรกๆไม่ใช่สิ ปีแรกๆนี่ ภาษาอังกฤษถึงขั้นป่วย ตอนนี้ยังไม่ดีเลย แต่พัฒนาขึ้น ตอนนี้เรียนปริญญาโท ด้านการจัดการ ไม่ง่ายเลยทีเดียว ยากตรงภาษาอังกฤษนี่แหละคะ จากคนที่ภาษาอังกฤษงูๆปลาๆ แต่ต้องมาเรียนแบบว่า ฟัง พูด อ่าน เขียน มาพร้อมกันแล้วเป็นศัพท์ Business ด้วย กระเหรี่ยงน้อย ร้องไห้หลายตลบ แต่ตอนนี้ก็ผ่านมาด้วยดีจบเทอมแรกแบบหืดขึ้นคอ ไม่ต้องสงสัยนะคะว่าเค้ารับได้ยังไง คือจริงเค้าใช้คะแนนสอบ โทเฟิล ที่รู้ตัวแน่ๆว่าทำไม่ได้กะการโอนจากโรงเรียนสอนภาษาแล้วได้ระดับตามเกณที่เค้าต้องการก็สามารถมาเรียนได้เลย แต่เราไม่ได้ค่ะ เพราะหนึ่งบ้านจน ไม่มีปัญญาส่งแน่ๆ และถ้าต้องเรียนเราก็ต้องทำงานส่งตัวเองเรียน จึงไปคุยกะทางมหาลัยว่าเรียน ESL classมาสี่คอสตอนเป็นออแพร์ ที่ปรึกษาก็ใจดีให้เราเอาจดหมายจากอาจารย์ที่เราเรียน ให้รับรองว่าภาษาอังกฤษ เราเป็นอย่างไร แต่อาจารย์ก็เขียนมาดีค่ะ เค้าเลยรับ หลังจากจบโครงการออแพร์ก็ทำเรื่องเรียนและกลับไปขอวีซ่าที่เมืองไทย คิดถึงบ้านมากเลย กลับไปได้แค่สองเดือน ก็ต้องกลับมาอีก ในใจตอนสัมภาษณ์วีซ่าคิด ขออย่าให้ได้ ไม่อยากไปแล้ว แต่ปรากฏว่าได้วีซ่ามาง่ายมากแทบจะไม่ถามอะไร ดูอะไรเลย แป่ว สรุปต้องกลับไปอีกใช่มั้ยเนี่ย แต่นะคะมันเป็นโอกาสและความฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากจะเป็นเด็กเรียนจบนอก ในเมื่อโอกาสมาขนาดนี้แล้ว ทำไมจะไม่สู้ละค่ะ ชีวิตนี้สู้มาทั้งชีวิตแล้วนี่ ช่วงเป็นออแพร์นี่ปีแรก สนุกมากกะชีวิตที่นี่ ทุกอย่างดูตื่นตาไปหมด ได้ไปเที่ยวเกือบทุกที่ที่อยากไป ไปเที่ยวกะเพื่อนทุกอาทิตย์ เด๋ววันหลังจะเล่าเรื่องการออกเดทและวัฒนธรรมการเที่ยวของคนที่นี่ให้ฟังค่ะ แต่พอมาปีที่สอง เพื่อนเริ่มทยอยกลับบ้าน เรื่องอิ่มตัว ไม่อยากไปไหน ประกอบกับบ้านเราห่างจากตัวเมืองเกือบชั่วโมงเลยไม่ได้ไปไหน จากสาวสังคมเมือง กลายมาเป็นสาวชนบท เริ่มเบื่ออยากกลับบ้านทุกลมหายใจเข้าออก ตอนนั้นทรมานมาก คิดถึงบ้าน เกิดมาไม่เคยมานั่งนับปฏิทินเลย เชื่อไหมคะว่านับเป็นรายวัน ก็จะหมดเดือน นี่ก็เข้าสู่ยุคเดิม ที่ต้องนั่งนับปฏิทินใหม่ เฮ้อออ แลกกับความฝันมันเป็นอะไรที่ต้องแลกหลายอย่างค่ะ การเรียนปริญญาโท ไม่ใช่แค่ความรู้อย่างเดียว และมันไม่ใช่แค่ความโก้หรู แต่มันจะเป็นใบเบิกทางให้เราได้มีสิทธิทำตามความฝัน และมีโอกาสมากกว่าคนอื่นนิดหน่อย นอกนั้นก็ที่โชคชะตา ฝีมือ และโอกาสละล่ะคะ